Wednesday, January 21, 2015

การรู้จักตนเอง

  • คุณมีแนวคิดอันวิเศษวิโสในเรื่องการรู้จักตนเอง โดยคิดว่าเพื่อรู้จักตนเอง คุณต้องฝึกหัด ต้องทำสมาธิ ต้องทำสารพัดอย่าง 
  • แท้จริงแล้วการรู้จักตนเองนั้นง่ายดายมาก ในการรู้จักตนเอง ก้าวแรกคือก้าวสุดท้าย จุดตั้งต้นคือจุดจบ ที่สำคัญอยู่ที่ก้าวแรก 
  • เพราะการรู้จักตนไม่ใช่เรื่องที่คุณจะร่ำเรียนจากคนอื่น ไม่มีผู้ใดสามารถสอนการรู้จักตนเองแก่คุณได้ คุณต้องค้นหาและค้นให้พบด้วยตนเอง ซึ่งมิใช่เรื่องที่น่าพรั่นพรึง พิลึกพิลั่น มันเป็นสิ่งที่แสนเรียบง่ายที่สุดแล้ว 


  • การรู้จักตนเองคือการหมั่นเฝ้าดูความประพฤติและวาจาของคุณ สิ่งที่คุณแสดงออกในความสัมพันธ์แต่ละวัน พึงตั้งต้นที่สิ่งทั้งหมดเหล่านั้น 
  • แล้วต่อจากนั้นคุณจะพบว่า การรู้จักตนเองยากเย็นแสนเข็ญเพียงไร เพียงเฝ้าดูลักษณะนิสัยความประพฤติของคุณ วาจาที่คุณพูดกับคนใช้ กับเจ้านายของคุณ ทัศนะที่คุณมีต่อผู้คน ต่อแนวคิดและสรรพสิ่ง 
  • พึงเฝ้าดูความคิดเจตจำนงของคุณบนบานกระจกเงาแห่งความสัมพันธ์ แล้วคุณจะพบว่าในขณะที่เฝ้าดูอยู่ คุณต้องการจะแก้ไข คุณจะบอกว่า 'นี่ดี นั่นไม่ดี ฉันต้องทำสิ่งนี้ และไม่ทำสิ่งนั้น' 
  • เมื่อคุณมองเห็นตนเองบนกระจกเงาแห่งความสัมพันธ์แล้ว ท่าทีของคุณคือการกล่าวโทษหรือตัดสิน นั่นคือคุณทำให้สิ่งที่คุณเห็นบิดเบี้ยวไป 
  • ถ้าคุณสังเกตทัศนะของคุณต่อผู้อื่น ต่อแนวคิดและสรรพสิ่ง บนบานกระจกแห่งความสัมพันธ์ คุณเพียงหมั่นสังเกตให้เห็นความจริงโดยปราศจากการตัดสิน การประณามหรือการยอมรับแล้ว 
  • จากนั้นคุณจะค้นพบว่า การสัมผัสรู้เยี่ยงนั้นมีบทบาทของมันเอง นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของการรู้จักตนเอง การเฝ้ามองตนเอง เฝ้าสังเกตสิ่งที่คุณกำลังทำ กำลังคิดอยู่ สังเกตเจตจำนงและแรงจูงใจของคุณ ว่าคืออะไร โดยไม่ประณามหรือตัดสิน มันทำได้ยาก 
  • เพราะโครงสร้างทางวัฒนธรรมวางอยู่บนรากฐานของการประณาม การตัดสินและการกำหนดคุณค่า เราได้รับการอบรมบ่มเพาะมาว่า 'ต้องทำสิ่งนี้ ไม่ทำสิ่งนั้น' 
  • แต่หากคุณมองบนบานกระจกแห่งความสัมพันธ์โดยไม่นึกถึงสิ่งตรงข้ามได้แล้ว คุณจะพบว่าการรู้จักตน ไร้จุดจบอย่างสิ้นเชิง การสอบสวนเพื่อมองให้เห็นว่าการรู้จักตนนั้น คือกระแสที่เคลื่อนออกไปข้างนอก แล้วหวนกลับมายังภายใน 
  • อย่าง เราเริ่มมองดวงดาว แล้วก็ย้อนมองเข้าสู่ภายในตน ฉันใดก็ฉันนั้น เรามองหาสัจจะ หาพระเจ้า หาความมั่นคงปลอดภัย หาความสุข มองหาสิ่งเหล่านี้ในโลกวัตถุ 
  • เมื่อมิอาจพานพบจากที่นั่น เราหวนกลับเข้าสู่ภายใน การสืบเสาะเพื่อค้นหาพระเจ้าภายใน อาตมันหรืออะไรก็ตาม จะยุติลงอย่างสมบูรณ์เมื่อรู้จักตนเอง 
  • จากนั้นจิตจะสงัดเงียบ ไม่ใช่เงียบโดยทำตามวินัย แต่ด้วยความเข้าใจ ด้วยการเฝ้าสังเกตและการรู้สึกตนอยู่แต่ละขณะนาทีโดยไม่เลือก
  • อย่าได้พูดว่า 'ฉันต้องรู้สึกตัวทุกๆนาที' เพราะนั่นเป็นการสำแดงออกของความโง่เขลา เมื่อเราต้องการจะไปให้ถึงจุดหมายสักแห่ง ต้องการบรรลุถึงภาวะใดโดยเฉพาะที่สำคัญคือการรู้สึกตนและอยู่กับการรู้สึกตนโดยไม่สั่งสมพอกพูน


  • เพราะว่าในทันทีที่คุณเก็บสั่งสม คุณจะตัดสินให้ค่าจากศูนย์กลางนั้น การรู้จักตนเองมิใช่กระบวนการสั่งสม มันเป็นกระบวนการค้นพบในแต่ละขณะของสัมพันธภาพ
  • Monday, June 9, 2014

    ความงาม

    "ความงามมักจะรวมถึงความงามในรูปร่างหรือรูป แต่ถ้าหากปราศจากความงดงามของจิตใจภายใน ความประทับใจในสิ่งที่เห็นจะนำไปสู่ความเสื่อมและความไม่กลมกลืน ความงดงามภายในจิตใจจะเกิดขึ้นเมื่อท่านมีความรักอย่างแท้จริงในมนุษยชาติ และสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบข้างตัวเรา และด้วยความรักอันนี้เองจะก่อให้เกิดความละเอียดถี่ถ้วน ความรู้สึกช่างสังเกตและความอดทน ท่านอาจจะรู้เทคนิคที่เชี่ยวชาญสมบูรณ์เช่นเดียวกับนักร้องหรือกวี ท่านอาจจะทราบถึงวิธีการวาด และการประดิดประดอยถ้อยคำเข้าด้วยกัน แต่หากปราศจากความงดงามของจิตใจภายในแล้ว ความสามารถของท่านก็มีความหมายน้อยเหลือเกิน"

    ชีวิตแห่งศาสนา

    "มันคงจะวิเศษยิ่ง หากเราทุกคนในที่นี้สามารถค้นพบสิ่งนี้ได้ มิใช่อย่างเป็นแนวคิด มิใช่เป็นอะไรบางอย่างที่เข้าถึงโดยการคาดเดา แต่จากวันนี้ก้าวล่วงเข้าสู่มิติใหม่และดำรงชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม บริบูรณ์ ประเสริฐสุด ชีวิตเช่นนั้นคือชีวิตแห่งศาสนา ไม่มีชีวิตชนิดอื่น ไม่มีศาสนาแบบอื่น ชีวิตเยี่ยงนั้นจะให้คำตอบแก่ทุกคำถาม เพราะว่าความรักคือปัญญาอันยิ่งและเป็นจริง พร้อมทั้งมีความตื่นตัวและความอ่อนน้อมยิ่ง คุณจะโชกชุ่มด้วยสิ่งนี้หรือไม่ แต่สิ่งเดียวนี้เท่านั้นที่สำคัญในชีวิต เราทุกคนทำได้ หยั่งรู้มันโดยง่ายๆ เป็นปกติธรรมดา โดยปราศจากความขัดแย้งหรือแรงพยายามแล้ว เราก็จะมีชีวิตที่แตกต่างไป เป็นชีวิตอันธำรงไว้ซึ่งสติปัญญาอันใหญ่หลวง หลักแหลม กระจ่างชัด ความกระจ่างชัดเช่นนี้เป็นแสงสว่างแก่ตัวมันเอง แสงสว่างนี้จะสลายปัญหาทั้งมวล"

    Sunday, June 8, 2014

    สมาธิจิต

    "สมาธิจิตคือจิตเงียบ ไม่ใช่ความเงียบที่ความคิดจะก่อให้เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่ความเงียบที่ความคิดจะก่อให้เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่ความเงียบในยามเย็นอันเงียบสงัด มันเป็นความเงียบเมื่อความคิดรวมทั้งมโนภาพ ถ้อยคำและการรับรู้ได้ยุติลงอย่างสิ้นเชิง สมาธิเช่นนี้คือจิตแห่งศาสนา ซึ่งไม่สามารถสัมผัสถึงได้โดยวิถีทางของโบสถ์ วัดวาอารามหรือการสวดมนต์ทำวัตร จิตแห่งศาสนาคืออุบัติการณ์แห่งความรัก รักนี้ไม่รู้จักการแบ่งแยก เพราะในรักนั้นความไกลห่างคือความชิดใกล้ รักไม่ใช่อย่างเดียวหรือหลายอย่าง แต่เป็นสภาวะรัก ซึ่งภายในนั้นการแบ่งแยกทุกอย่างสิ้นสุดลง เฉกเช่นความงามอันประมาณมิได้ด้วยถ้อยคำ สมาธิจิตกระทำออกมาจากความเงียบเช่นนี้"

    ศาสนาคืออะไร

    "โดยการปฏิเสธ โดยลบล้างที่ไม่ใช่ออกไปเสีย สิ่งนั้นไม่ใช่ สิ่งนี้ก็ไม่ใช่ เธอก็จะเริ่มค้นพบว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นใช่ศาสนาหรือไม่ แล้วทีนี้อะไรละคือศาสนา คงไม่ใช่ลัทธิฮินดู มันไม่ใช่ มันเป็นเพียงความเชื่อเท่านั้น คริสต์ก็ไม่ใช่ มันก็เป็นเพียงความเชื่อเท่านั้น ความเชื่อคือสิ่งที่เราได้ถูกอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่วัยเด็กและจากอื่นๆ เป็นต้น เธอบอกว่า 'นั้นไม่ใช่ศาสนา' ดังนั้น เธอสลัดทุกสิ่งทุกอย่างทิ้ง สิ่งซึ่งมนุษย์ประดิษฐ์คิดค้นและเรียกกันว่าศาสนา ผู้คิดนั้นจะเป็นใครก็ตาม รวมทั้งพระกฤษณะ พระพุทธเจ้าหรือสังฆาจารย์หรือใครก็ตาม สลัดออกจากสิ่งทั้งปวงนั้นเสีย แล้วจากนั้น พึงถามตัวคุณเองว่า 'ศาสนาคืออะไร'"

    จิตแห่งศาสนา

    "จิตแห่งศาสนาที่แท้จริงไม่ขึ้นต่อสำนักลัทธิใด กลุ่มใด ศาสนาหรือโบสถ์ใด จิตแห่งศาสนาไม่ใช่จิตที่เป็นฮินดู คริสต์ พุทธหรือมุสลิม จิตแห่งศาสนาไม่สังกัดกลุ่มลัทธิใดซึ่งเรียกตนเองว่าเป็นศาสนา จิตแห่งศาสนาไม่ไปโบสถ์ ไม่เข้าวัดและมัสยิด ไม่ยึดถือรูปแบบของความเชื่อหรือลัทธิคัมภีร์ มันเต็มเปี่ยมเป็นหนึ่งเดียว เป็นจิตที่ล่วงเห็นความผิดพลาดของโบสถ์ ลัทธิคัมภีร์ ความเชื่อถือ จารีตนิยมอย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่คลั่งไคล้ในลัทธิชาตินิยม ไม่ฝังจมอยู่ในอิทธิพลครอบงำจากสิ่งแวดล้อม จิตเช่นนั้นไร้พรมแดนและไม่มีขีดจำกัด ทรงพลังสดใส เยาว์วัย แช่มชื่น ไร้เดียงสา เป็นจิตที่ยืดหยุ่น อ่อนโยนยิ่งไม่จำเป็นต้องมีที่ยึดเหนี่ยว จิตเช่นนี้เท่านั้นจะประสบพบสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้า ภาวะอันมิอาจหยั่งคะเนได้"

    ความไม่กลัว

    "แล้วเธอจะค้นหาได้อย่างไร เธอสามารถค้นพบได้ต่อเมื่อเธอไม่รู้สึกขลาดกลัว หากว่าเธอไม่กลัวตาย ไม่กลัวที่จะอดอยากยากจน ไม่กลัวที่จะไม่ประสบความสำเร็จ ไม่กลัวที่จะไม่ได้แต่งงานมีความสุข หรือกลัวสิ่งนั้นสิ่งนี้ เมื่อเธอไม่ขลาดกลัวแล้ว จากนั้นเธอสามารถแลเห็นได้ ตั้งคำถามได้ แต่พวกเราส่วนใหญ่รู้สึกสะท้าน กลัวจะล้มป่วย กลัวจะไม่มีลูก กลัวถูกออกจากงาน กลัวความตาย กลัวปากเสียงของเพื่อนบ้าน กลัวว่าคุณยายจะคิดอะไรกับฉัน กลัวครูอาจารย์อย่าง ณ ที่นี้ กลัวที่จะตั้งคำถามมากเกินไปและอื่นๆ เป็นต้น จิตที่ตกอยู่ในความกลัวไม่เคยกล้าพอที่จะตั้งคำถามเลย จิตเช่นนั้นจะไม่อาจพานพบด้วยตัวมันเองว่าศาสนาคืออะไร"