การรู้จักตนเอง
"ความงามมักจะรวมถึงความงาม
"มันคงจะวิเศษยิ่ง หากเราทุกคนในที่นี้สามารถค
"สมาธิจิตคือจิตเงียบ ไม่ใช่ความเงียบที่ความคิดจะก่อให้เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่ความเงียบที่ความคิดจะก่อให้เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่ความเงียบในยามเย็นอันเงียบสงัด มันเป็นความเงียบเมื่อความคิดรวมทั้งมโนภาพ ถ้อยคำและการรับรู้ได้ยุติลงอย่างสิ้นเชิง สมาธิเช่นนี้คือจิตแห่งศาสนา ซึ่งไม่สามารถสัมผัสถึงได้โดยวิถีทางของโบสถ์ วัดวาอารามหรือการสวดมนต์ทำวัตร จิตแห่งศาสนาคืออุบัติการณ์แห่งความรัก รักนี้ไม่รู้จักการแบ่งแยก เพราะในรักนั้นความไกลห่างคือความชิดใกล้ รักไม่ใช่อย่างเดียวหรือหลายอย่าง แต่เป็นสภาวะรัก ซึ่งภายในนั้นการแบ่งแยกทุกอย่างสิ้นสุดลง เฉกเช่นความงามอันประมาณมิได้ด้วยถ้อยคำ สมาธิจิตกระทำออกมาจากความเงียบเช่นนี้"
"โดยการปฏิเสธ โดยลบล้างที่ไม่ใช่ออกไปเสี
"จิตแห่งศาสนาที่แท้จริงไม่ขึ้นต่อสำนักลัทธิใด กลุ่มใด ศาสนาหรือโบสถ์ใด จิตแห่งศาสนาไม่ใช่จิตที่เป็นฮินดู คริสต์ พุทธหรือมุสลิม จิตแห่งศาสนาไม่สังกัดกลุ่มลัทธิใดซึ่งเรียกตนเองว่าเป็นศาสนา จิตแห่งศาสนาไม่ไปโบสถ์ ไม่เข้าวัดและมัสยิด ไม่ยึดถือรูปแบบของความเชื่อหรือลัทธิคัมภีร์ มันเต็มเปี่ยมเป็นหนึ่งเดียว เป็นจิตที่ล่วงเห็นความผิดพลาดของโบสถ์ ลัทธิคัมภีร์ ความเชื่อถือ จารีตนิยมอย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่คลั่งไคล้ในลัทธิชาตินิยม ไม่ฝังจมอยู่ในอิทธิพลครอบงำจากสิ่งแวดล้อม จิตเช่นนั้นไร้พรมแดนและไม่มีขีดจำกัด ทรงพลังสดใส เยาว์วัย แช่มชื่น ไร้เดียงสา เป็นจิตที่ยืดหยุ่น อ่อนโยนยิ่งไม่จำเป็นต้องมีที่ยึดเหนี่ยว จิตเช่นนี้เท่านั้นจะประสบพบสิ่งที่เรียกว่าพระเจ้า ภาวะอันมิอาจหยั่งคะเนได้"
"แล้วเธอจะค้นหาได้อย่างไร เธอสามารถค้นพบได้ต่อเมื่อเธอไม่รู้สึกขลาดกลัว หากว่าเธอไม่กลัวตาย ไม่กลัวที่จะอดอยากยากจน ไม่กลัวที่จะไม่ประสบความสำเร็จ ไม่กลัวที่จะไม่ได้แต่งงานมีความสุข หรือกลัวสิ่งนั้นสิ่งนี้ เมื่อเธอไม่ขลาดกลัวแล้ว จากนั้นเธอสามารถแลเห็นได้ ตั้งคำถามได้ แต่พวกเราส่วนใหญ่รู้สึกสะท้าน กลัวจะล้มป่วย กลัวจะไม่มีลูก กลัวถูกออกจากงาน กลัวความตาย กลัวปากเสียงของเพื่อนบ้าน กลัวว่าคุณยายจะคิดอะไรกับฉัน กลัวครูอาจารย์อย่าง ณ ที่นี้ กลัวที่จะตั้งคำถามมากเกินไปและอื่นๆ เป็นต้น จิตที่ตกอยู่ในความกลัวไม่เคยกล้าพอที่จะตั้งคำถามเลย จิตเช่นนั้นจะไม่อาจพานพบด้วยตัวมันเองว่าศาสนาคืออะไร"